เข้าสู่ช่วงฤดูฝนทีไร โรคไข้หวัดใหญ่ก็กลับมาระบาดทุกที โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงวัยที่มีภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติลดลง ทำให้มีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ได้ง่ายและมีอาการรุนแรงกว่าคนทั่วไป
ไข้หวัดใหญ่ VS ไข้หวัดธรรมดา ต่างกันอย่างไร?
หลายคนอาจสับสนระหว่างไข้หวัดใหญ่และไข้หวัดธรรมดา แต่ทั้งสองโรคนี้มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน
- ไข้หวัดธรรมดา:
- มักมีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล ไอ จาม เจ็บคอ และอาจมีไข้ต่ำ ๆ
- อาการมักไม่รุนแรงและหายได้เองภายใน 2-3 วัน
- ไข้หวัดใหญ่:
- มีอาการไข้สูง ปวดเมื่อยตามตัว ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ไอ เจ็บคอ และอาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน
- อาการมักรุนแรงกว่าไข้หวัดธรรมดา และอาจเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ปอดอักเสบ หลอดลมอักเสบ หรือสมองอักเสบ โดยเฉพาะในผู้สูงวัย
ทำไมผู้สูงวัยถึงเสี่ยงต่อไข้หวัดใหญ่มากกว่าคนทั่วไป?
- ระบบภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติลดลง ทำให้ร่างกายต่อสู้กับเชื้อโรคได้ไม่ดีเท่าที่ควร
- ผู้สูงวัยมักมีโรคประจำตัว เช่น โรคปอด โรคหัวใจ หรือโรคเบาหวาน ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากไข้หวัดใหญ่
- การเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยา เช่น การทำงานของปอดลดลง ทำให้ผู้สูงวัยมีอาการรุนแรงกว่าคนทั่วไป
วิธีป้องกันไข้หวัดใหญ่ในผู้สูงวัย
- ฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่:
- เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการป้องกันไข้หวัดใหญ่
- ควรฉีดวัคซีนเป็นประจำทุกปี โดยเฉพาะก่อนเข้าสู่ฤดูฝนหรือฤดูหนาว
- รักษาสุขอนามัยส่วนบุคคล:
- ล้างมือบ่อย ๆ ด้วยสบู่และน้ำ หรือเจลแอลกอฮอล์
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้า ตา จมูก และปาก
- สวมหน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ในที่สาธารณะหรือใกล้ชิดกับผู้ที่มีอาการป่วย
- ดูแลสุขภาพให้แข็งแรง:
- พักผ่อนให้เพียงพอ
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ
สัญญาณอันตรายที่ควรไปพบแพทย์
- ไข้สูงไม่ลด
- หายใจลำบาก หายใจหอบ
- เจ็บหน้าอก
- มีอาการสับสน หรือซึมลง
- อาการไอ รุนแรงขึ้น หรือมีเสมหะเปลี่ยนสี
การดูแลสุขภาพของผู้สูงวัยให้แข็งแรงอยู่เสมอ และการสังเกตอาการผิดปกติต่าง ๆ เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง หากมีอาการป่วย ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม เพื่อให้ผู้สูงวัยมีสุขภาพที่ดีและมีความสุขในทุก ๆ วัน